ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

โพชฌงค์


พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)




          โพชฌงค์  นี้เป็นหลักธรรมสำคัญหมวดหนึ่ง ญาติโยมหลายท่านรู้จักในชื่อที่เป็นบทสวดมนต์ เรียกว่า โพชฌงคปริตร  และนับถือกันมาว่า เป็นพุทธมนต์สำหรับสวดสาธยาย เพื่อให้คนป่วยได้สดับตรับฟังแล้วจะได้หายโรคที่เชื่อกันอย่างนี้  ก็เพราะมีเรื่องมาในพระไตรปิฏกเล่าว่า พระมหากัสสปะ  ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยอาพาธ และพระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยม แล้วทรงแสดงเรื่องโพชฌงค์นี้  ท่านพระมหากัสสปเถระก็หายจากโรคนั้น อีกคราวหนึ่ง  พระมหาโมคคัลลานะ  ซึ่งเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย ก็อาพาธและพระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยม ก็ได้ทรงแสดงโพชฌงค์นี้อีก แล้วพระมหาโมคคัลลานะก็หายโรค
โพชฌงค์มาจากคำว่า  โพชฺฌ กับ องฺค หรือโพธิ  กับองค์จึงแปลว่า องค์แห่งผู้ตรัสรู้  
            
            
องค์ประกอบที่ ๑  “สติ”  สติเป็นเครื่องดึงจิตไว้กับสิ่งนั้น ๆ ซึ่งภาษาธรรมเรียกว่า อารมณ์ดึงจิตหรือกุมจิตไว้กับอารมณ์

            
องค์ประกอบที่ ๒  “ ธัมมวิจยะหรือ ธรรมวิจัย”  แปลว่า การวิจัยธรรม วิจัย นั้นแปลว่า การเฟ้นหรือเลือกเฟ้น  คือการใช้ปัญญาไตร่ตรอง 
           
ถ้ามองไม่ดี  ใจของเราก็วุ่นวาย ปั่นป่วน  กระวนกระวาย เดือดร้อน 
แต่ถ้ามองให้ดี ถึงแม้สิ่งนั้นคนทั่วไปเขาว่าไม่ดี  เราก็มองให้มันเป็นธรรมไป ก็เป็นธรรมวิจัยอย่างหนึ่ง  เรียกว่ามองอะไรก็ได้ ถ้ามองให้ดีแล้วมันเป็นธรรมหรือทำให้เห็นธรรมได้หมด

            
องค์ประกอบที่ ๓  “วิริยะ”   วิริยะ  แปลว่าความเพียร หรือความแกล้วกล้า หมายถึงพลังความเข้มแข็งของจิตใจ ที่จะเดิน ที่จะก้าวหน้าต่อไป ถึงจะเผชิญอุปสรรค ความยุ่งยาก ความลำบาก ถึงจะเป็นงานหนัก หรือมีภัย  ก็ไม่ครั่นคร้าม ไม่หวั่นหวาด ไม่กลัว ใจสู้ ไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอย  และไม่ท้อแท้  มีกำลังประคับประคองใจของตัวเองไว้ไม่ให้ถอย อันนี้เรียกว่า วิริยะ  ก็เป็นหลักสำคัญ เป็นตัวกำลังความเข้มแข็ง เป็นองค์ประกอบที่จะให้ทำได้สำเร็จ

            
องค์ประกอบที่ ๔  “ปีติ”  ปีติ  แปลว่าความอิ่มใจ หรือความดื่มด่ำ ความซาบซึ้ง ปลาบปลื้ม จิตใจของเราก็ต้องการอาหารหล่อเลี้ยง  คล้ายกับร่างกายเหมือนกัน  ปีตินี้เป็นอาหารหล่อเลี้ยงสำคัญของจิตใจ

           
องค์ประกอบที่ ๕  “ปัสสัทธิ”  ปัสสัทธิ  แปลว่าความผ่อนคลาย หรือสงบเย็น ไม่กระสับกระส่าย ไม่เครียด  พออิ่มใจ  ก็เกิดความผ่อนคลายสบาย

            
องค์ประกอบที่ ๖  “สมาธิ”  สมาธิ แปลว่า  ความตั้งจิตมั่นหรือแน่วแน่อยู่กับสิ่งนั้น ๆ 

           
ในข้อ ๑  ที่ว่าด้วยสติ  ได้บอกว่า สติเป็นตัวที่จับ ดึง ตรึง หรือกำกับไว้  ทำให้จิตอยู่กับสิ่งที่กำหนด ไม่หลุดลอยหาย หรือคลาดจากกันไป ในข้อ ๖ นี้ก็ว่า สมาธิ คือการที่จิตอยู่กับสิ่งที่กำหนดนั้น  แน่วแน่ แนบสนิท 

           
ขอชี้แจงว่า คำอธิบายข้างต้นนั้นแหละ  ถ้าอ่านให้ดี ก็จะมองเห็นความแตกต่างระหว่างสติกับสมาธิ การทำให้จิตอยู่กับสิ่งที่กำหนดเป็นสติ  การที่จิตอยู่กับสิ่งที่กำหนดได้เป็นสมาธิ

           
ท่านเปรียบเทียบไว้  เหมือนกับว่าเราเอาลูกวัวป่าตัวหนึ่งมาฝึก วัวจะหนีไปอยู่เรื่อย เราก็เอาเชือกผูกวัวป่านั้นไว้กับหลัก  ถึงแม้วัวจะดิ้นรนวิ่งหนีไปทางไหน  ก็ได้แค่อยู่ในรัศมีของหลัก วนอยู่ใกล้ ๆ หลักไม่หลุด ไม่หายไป แต่ถึงอย่างนั้น  วัวนั้นก็ยังดิ้นรนวิ่งไปมาอยู่  ต่อมานานเข้า ปรากฏว่า วัวป่าคลายพยศ มาหยุดหมอบนิ่งอยู่ที่หลัก สงบเลย

           
ในข้ออุปมานี้  ท่านเปรียบการเอาเชือกผูกวัวป่าไว้กับหลักเหมือนกับเป็นสติ  ส่วนการที่วัวป่าลงหมอบนิ่งอยู่ใกล้หลักนั้นเปรียบเหมือนเป็นสมาธิ
           
ระหว่างสติกับสมาธินั้น  สติเป็นตัวนำหน้า หรือเป็นตัวเริ่มต้นก่อน  แม้ว่าจุดหมายเราจะต้องการสมาธิโดยเฉพาะต้องการสมาธิที่แน่วแน่เข้มมาก  แต่ก็จะต้องเริ่มงานด้วยสติ ดังนั้น ในการฝึกสมาธิ จึงต้องเริ่มต้นด้วยการเอาสติมาชักนำ หรือมาจับตั้งจูงเข้า คือเอาสติมากำหนดอารมณ์หรือสิ่งที่ใช้เป็นกรรมฐานนั้น ๆ ก่อน

            
องค์ประกอบที่ ๗   ซึ่งเป็นข้อสุดท้าย คือ อุเบกขา”  แปลว่า ความวางเฉย วางเฉยอย่างไร ถ้าเราเห็นอะไร รับรู้อะไรแล้วเราวางเฉยเสีย  บางทีมันเป็นแต่เพียงความวางเฉยภายนอก หรือพยายามทำเป็นเฉย  แต่ใจไม่เฉยจริง และไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เฉยอย่างนี้ไม่ใช่อุเบกขา

           
ความวางเฉยในที่นี้  หมายถึง ความเรียบสงบของจิตที่เป็นกลาง ๆ ไม่เอนเอียงไปข้างโน้นข้างนี้  และเป็นความเฉยรู้  คือ รู้ทันจึงเฉย ไม่ใช่เฉยไม่รู้ หรือเฉยเพราะไม่รู้ เป็นการเฉยดูอย่างรู้ทัน และพร้อมที่จะทำการเมื่อถึงจังหวะ

         
ท่านเปรียบจิตที่เป็นอุเบกขานี้ว่า  เป็นจิตที่ทุกอย่างเข้าที่ดีแล้ว  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่ถูกจังหวะกันดีแล้ว ใจของเราจึงวางเฉยดูมันไป เหมือนอย่างเมื่อท่านขับรถ ตอนแรกเราจะต้องวุ่นวายเร่งเครื่องปรับอะไรต่ออะไรทุกอย่างให้มันเข้าที่  พอทุกอย่างเข้าที่แล้ว เครื่องก็เดินดีแล้ว วิ่งเรียบสนิทดีแล้ว ต่อแต่นี้เราก็เพียงคอยมองดู คุมไว้ ระวังไว้ ให้รับรู้อย่างผู้มีปัญญา  รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อเข้าที่ดีแล้ว  ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี  รู้ว่าคนเขาควรรับผิดชอบตัวเองในเรื่องนี้  ใจเราวางเป็นกลางสนิท สบาย อย่างนี้เรียกว่า อุเบกขา

           
ทั้งหมดนี้คือ ตัวองค์ธรรม ๗ ประการ  ที่เป็นองค์ประกอบขององค์รวมคือ โพธิ หรือการตรัสรู้ เวลาเอามาพูดแยก ๆ กันอย่างนี้  บางทีก็เข้าใจไม่ง่ายนัก แต่ก็พอเห็นเค้าได้ว่า ธรรมทั้ง ๗ อย่างนี้ไม่ต้องเอาครบทั้งหมดหรอก  แม้เพียงอย่างเดียวถ้ามีสักข้อก็ช่วยให้จิตใจสบายแล้ว

           
ถ้าเป็นผู้เจ็บไข้  มีเพียงอย่างเดียว หรือสองอย่าง จิตใจก็สบาย เช่น มีสติ จิตใจไม่หลงใหลฟั่นเฟือน หรือมีปัสสัทธิ กายใจ ผ่อนคลาย เรียบเย็น สบาย ไม่มีความเครียด ไม่กังวลอะไร แค่นี้ก็เป็นสภาพจิตที่ดีแล้ว ถ้ารู้จักมองด้วยธัมมวิจยะ  ก็ทำใจได้  ยิ่งถ้ามีวิริยะ มีกำลังใจด้วย ก็เห็นชัดเจนว่า เป็นสภาพดีที่พึงต้องการแน่ ๆ จิตใจของผู้เจ็บไข้นั้น จะไม่ต้องเป็นที่น่าห่วงกังวลแก่ท่านผู้อื่น ยิ่งมีปีติ มีสมาธิ มีอุเบกขา ที่สร้างขึ้นมาได้ก็ยิ่งดี

           
โอกาสนี้อาตภาพก็ถือว่าเป็นการพูดเริ่ม  หรือเป็นการบอกแนวทางในหลักการไว้ เป็นความเข้าใจทั่วไป เกี่ยวกับเรื่องโพชฌงค์  ก็พอสมควรแก่เวลา ขอส่งเสริมกำลังใจโยม ขอให้โยมเจริญด้วยหลักธรรมเหล่านี้  เริ่มต้นด้วยสติเป็นต้นไป

           
โดยเฉพาะข้อหนึ่งที่อยากให้มีมาก ๆ ก็คือ ปีติ ความอิ่มใจจะได้ช่วยเป็นอาหารใจ คือ นอกจากมีอาหารทางกายเป็นภักษาแล้ว ก็ขอให้มีปีติเป็นภักษาด้วย  คือ มีปีติเป็นอาหารใจ เป็นเครื่องส่งเสริมให้มีความสุข เมื่อมีความสุขกายแล้ว  มีความสุขใจด้วย ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้มีความสุขโดยสมบูรณ์ มีสุขภาพพร้อมทั้งสองด้านคือ ด้านกาย และด้านใจ มีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต

           
หลักธรรมที่อาตมาภาพนำมาชี้แจงเหล่านี้  หากว่าได้นำไปใช้ก็จะเป็นพรอันประเสริฐที่เกิดขึ้นในจิตใจของโยมแต่ละท่านเองอาตมาภาพขอให้ทุกท่านได้รับประโยชน์จากหลักธรรมชุดนี้โดยทั่วกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น